รักพอดีๆ

ปริมาณความรักคงไม่สามารถวัดด้วยหน่วยวัดน้ำหนักได้   เพราะความรักเป็นเรื่องนามธรรมจับต้องไม่ได้  แต่สามารถสัมผัสรับรู้ความรู้สึกได้  รักแค่ไหนถึงเรียกว่าพอดี  จึงไม่สามารถกะเกณฑ์เป็นตัวเลขได้  มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่จะรู้ดีว่ารักแค่ไหนถึงจะพอดี

      รักแบบพอดีมันต้องอาศัยองค์ประกอบของความรักและเหตุผล  รักแบบพอดีของคนๆหนึ่ง  ไม่จำเป็นต้องเท่ากับของอีกคนเสมอไปและไม่มีใครสามารถรกำหนดแทนกันได้  เพราะอย่างนี้คนที่รักในวัยเรียนต้องเป็นผู้กำหนดเอง โดยดูจากปัจจัยต่างๆเช่น  ความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน  ผลการเรียนอยู่ระดับไหน  ควาสัมพันธ์ของคนรอบข้างเป้นอย่างไร  และอื่นๆ  ถ้าปัจจัยเหล่านี้อยู่ในขั้นตอนพอใจ  มีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่  การเรียนอยู่ในขั้นดี  ก็ไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วง  ความรักแบบพอดีของคนเหล่านี้จึงสามารถเลยครึ่งแก้ว(น้ำ)มาได้
 ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน…
     ในการที่เราจะรักใครคนหนึ่งนั้น  เราควรรักแบบพอดี  ไม่หักโหมจนเกินควรคำนึงถึงสิ่งรอบข้างด้วยว่า  เมื่อเรามีรักแล้วมันทำอะไรเสียหายหรือเปล่า  อย่างเช่น  ในเรื่องการเรียนของเราและอื่นๆ  รวมถึงการที่เรารักอย่างมีเหตุผล

อยากให้บ้านนี้มีแต่รัก

อยากให้บ้านนี้มีแต่รัก

 อรวีเป็นสาวน้อยร่างโปร่งผิวขาวและเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดังเธอ เกิดในครอบครัวที่มีฐานะความเป็นอยู่ดีแต่เธอไม่มีความสุขสบายดังฐานะของเธอ เลย ชีวิตของอรวีจึงเป็นชีวิตแบบหนึ่งในสังคมปัจจุบัน ตอนนี้อรวีเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เขาน้อยอกน้อยใจตลอดเวลาถ้าคิดถึงเรื่องภายในครอบครัวของเขาเพราะพ่อแม่ ของอรวีไม่เคยมีเวลาให้เขาเลยแม้แต่วันหยุดเรียนก็ยังต้องออกไปพบปะสังคมภาย นอกปล่อยให้เธออยู่บ้านตามลำพังคนเดียวไม่มีคนที่จะปรึกษาไม่มีคนคอยถามข่าว การเรียนของเขาเลย อรวีตื่นแต่เช้าออกจากบ้านเพื่อจะไปเรียนหนังสือดดยที่แม่กับพ่อของเขายัง ไม่ตื่นนอนเลยพอกลับมาถึงบ้านก็ไม่มีใครอยู่มีแต่คนใช้เพราะพ่อกับแม่ไปทำ งานกว่าจะกลับอรวีก็เขานอนแล้วชีวิตของอรวีเป็นอย่างนี้ทุกวันจนบางครั้งทำ ให้อรวีไม่อยากกลับบ้านเลยเขาไม่เคยมีความสุขเขาอยากมีชีวิตเหมือนคนปกติถึง แม้จะมีฐานะไม่ร่ำรวยแต่เขาขอแค่พ่อแม่ลูกอยู่พร้อมหน้ากินข้าวด้วยกันแค่ นี้ก็พอใจแล้ววันหนึ่งเขาไปเรียนตามปกติก็มีเพื่อนของเขาคนหนึ่งมาคุยกับอร วีบอกว่าเขาเสียตัวให้กับผู้ชายที่พึ่งรู้จักจากการไปเที่ยวพับกลางคืนอรวี ตกใจมากจากเรี่องที่ได้ฟังทำให้อรวีคิดได้ว่าไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยและอบอุ่น เท่าบ้านของเขาเองไม่มีใครที่จะให้ความรักกับเราเท่าพ่อกับแม่

ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน

ครอบครัวจะเป็นสุขได้ถ้าทุกคนรู้จักหน้าที่ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกัน และกันรู้จักให้อภัยไม่มีทิฐิเข้าใส่กันไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูกต่างคน ต่างก็เป็นกระจกเงาให้กันและกันบ้านก็จะอบอุ่นด้วยไอรัก

ที่มา  http://xn--72ca8c4ajbks4ac2a4c6d8fi8ihw.blogspot.com/

สุนัขผู้ซื่อสัตย์

เรื่อง สุนัขผู้ซื่อสัตย์

มีบ้านหลังหนึ่งได้เลี้ยงสุนัขเอาไว้เฝ้าบ้าน ซึ่งสุนัขตัวนั้น ซื่อสัตย์มาก และรักเจ้าของมาก ในยามกลางคืนขณะที่มันนอนหลับ หากได้ยินเสียงผิดปกติมันก็จะลุกขึ้นมาเห่าเสมอเพื่อ เตือนภัยเเก่เจ้าของบ้าน คืนหนึ่ง มันได้ยินเสียงฝีเท้าคลิ๊กที่ภาพคนย่ำใบไม้ดังกรอบเเกรบ เเผ่วเบาที่ใกล้รั้วบ้านเเม้จะไม่เห็นว่าเป็นใครมันก็ส่งเสียงเห่าคำรามขู่ไว้ก่อน เจ้าหัวขโมยจึงโยนเนื้อซุบยาเบื่อชิ้นหนึ่งเข้ามาในรั้ว สุนัขเฝ้าบ้านเดินเข้าไปดมๆ เเต่ก็ไม่กินมันยังคงเห่าต่อไปจนกระทั่งเจ้าของบ้านออกมาดู เเล้วก็ช่วยกันจับขโมยได้ในที่สุด

 

ข้อคิดที่ได้: อามิสสินบนนั้นซื้อความซื่อสัตย์ภักดีไม่ได้เลย

ที่มา  : http://xn--o3cdbi8era7aon.rakjung.com/2.html

นิทานสอนใจ : ความสุขของนานา

มีครอบครัวของผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง สมาชิกในครอบครัวประกอบด้วย พ่อ แม่ และบุตรสาวแสนน่ารักอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า “นานา” นานาเป็นบุตรสาวที่พ่อแม่ของเธอรักดั่งแก้วตาดวงใจ อะไรที่เป็นความสุขของนานา พ่อกับแม่ก็จะสรรหามาให้วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสิบสองขวบของนานา พ่อกับแม่จึงถามเธอว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญ “หนูอยากจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่มีรอยยิ้มของเด็กมากมายมาร่วมฉลองกับหนูด้วยค่ะ” นานาบอกพ่อกับแม่พร้อมรอยยิ้มหวานฉ่ำ ซึ่งกุมเอาทั้งหัวใจของพ่อและแม่ของเธอไว้ได้ทั้งหมด
“ได้สิจ๊ะลูก พ่อกับแม่จะจัดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ให้กับหนู และเชิญเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนทุกคนมาร่วมงานนี้ด้วย” พ่อของนานารีบสนองความต้องการของบุตรสาว แต่นานาไม่ได้ต้องการแบบนี้ เธอจึงกล่าวค้านว่า

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ หนูไม่ต้องการฉลองกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน เพราะว่าเพื่อน ๆ ทุกคนล้วนมีทุกสิ่งทุกอย่างพรั่งพร้อมอยู่แล้ว พวกเขาอาจจะยิ้มและหัวเราะที่ได้ร่วมสนุกในงาน แต่นั่นไม่ใช่รอยยิ้มของคนที่อยากจะยิ้มจริง ๆ หนูอยากเห็นรอยยิ้มของเด็ก ๆ ที่อยากจะยิ้ม แต่ไม่เคยได้ยิ้มต่างหากละคะ”

พ่อกับแม่เข้าใจในสิ่งที่นานาพูดทันที ด้วยความเป็นคนโอบอ้อมอารี นานาจึงอยากมอบความสุขในวันเกิดของเธอให้คนอื่น ๆ ด้วยนั่นเอง ดังนั้นพ่อกับแม่ของนานาจึงติดต่อไปที่บ้านเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง เพื่อขอจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้แก่นานาที่นั่น ซึ่งเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าก็ตอบรับกลับมาอย่างยินดียิ่ง ดังนั้นครอบครัวของนานาจึงช่วยกันจัดเตรียมข้าวของ และขนมมากมายให้เพียงพอแก่เด็กกำพร้าที่นั่น

เมื่อไปถึง มีเด็กมากมายยืนรออยู่แล้ว หลังจากจัดสถานที่เสร็จงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น

“ตายแล้ว!” แม่ของนานาร้องลั่น “ฉันหยิบเทียนวันเกิดมาไม่ครบ ขาดไปตั้งสามเล่มแน่ะ”
“]
“ทำไมคุณไม่รอบคอบเลยนะ” พ่อของนานาต่อว่าภรรยา “นานาอายุครบสิบสองขวบวันนี้ แต่คุณกลับเอาเทียนมาแค่เก้าเล่ม ลูกต้องเสียใจแน่ที่มีเทียนปักอยู่บนเค้กของแกไม่ครบ”

แต่นานาเดินมาได้ยินเข้าพอดี เธอจึงเข้าไปหาพ่อกับแม่แล้วบอกอย่างอารมณ์ดีว่า “อย่าทะเลาะกันเลยค่ะคุณพ่อคุณแม่ เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้หนูเสียใจหรอกค่ะ”

ดังนั้นพ่อกับแม่ของนานาจึงเลิกต่อว่ากัน และหันไปบอกเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าว่า “ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็พร้อมแล้ว เริ่มงานเลี้ยงกันเลยเถิดค่ะ เอาล่ะนานาเตรียมอธิษฐานแล้วตัดเค้กนะลูก”ทันทีที่พูดจบ เจ้าหน้าที่อีกคนก็จูงโมโมเดินเข้ามาในงาน ดูแวบแรกใคร ๆ ก็รู้ว่าโมโมไม่เต็มใจที่จะมางานนี้นัก หน้าของเธอบิดเบี้ยวเหมือนคนเจ็บทรมาน และแววตาของเธอดูไม่เป็นมิตรกับใคร ๆ เลยแต่ทันใดนั้นเอง เมื่อสายตาของโมโมหันไปเห็นขนมเค้กแสนสวย ปักเทียนเก้าเล่มตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สีหน้าและแววตาของโมโมก็เปลี่ยนไป ใบหน้าที่เคยบิด ๆ เบี้ยว ๆ ของโมโมบัดนี้กลับยิ้มแฉ่ง ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายสดใส ผิดจากเมื่อครู่เหมือนคนละคน

“ทุกคนรู้ได้อย่างไร ว่าวันนี้เป็นวันเกิดครบเก้าขวบของหนู หนูขอตัดเค้กเลยได้ไหมคะ” โมโมร้องอย่างดีใจยิ่งเจ้าหน้าที่บ้านเด็กกำพร้าได้ยินโมโมพูดอย่างนั้นก็มองหน้ากันเลิกลั่ก

ในที่สุดเจ้าหน้าที่ซึ่งได้ขอให้ครอบครัวของนานารอโมโมก่อนเมื่อครู่ก็ตัดสินใจเดินไปหาพ่อและแม่ของนานา และพูดอย่างอึกอักว่า “ได้โปรดเถิดค่ะ ได้โปรดมอบเค้กก้อนนั้นให้แก่โมโม ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่โมโมไม่เคยยิ้มอย่างนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่แกยิ้มได้ เพราะฉะนั้นได้โปรดให้โมโมได้ตัดเค้ก และคิดว่าพวกเราจัดเตรียมทุกอย่างนี้มาเพื่อแกเถิดนะคะ”

พ่อกับแม่ของนานาได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ขอมากเกินไป พวกเขาตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้แก่นานาบุตรสาวสุดที่รัก และอุตส่าห์นึกถึงเด็ก ๆ ที่นี่ แต่ทำไมคนที่นี่ ถึงกล้ามาบอกให้พวกเขาเปลี่ยนไปทำเช่นเดียวกันนี้ให้กับเด็กอีกคนหนึ่งได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่พ่อและแม่ของนานาจะกล่าวคำปฏิเสธ นานาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ได้สิคะ หนูจะมอบเค้กวันเกิดของหนูให้แก่เด็กคนนั้น นอกจากนั้นหนูก็คิดว่า เราควรร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้เธอโดยเอ่ยชื่อของเธออีกด้วย”

เจ้าหน้าที่ได้ยินนานากล่าวอย่างจริงใจเช่นนั้นก็รู้สึกยินดียิ่ง เธอกล่าวขอบคุณนานาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นการใหญ่ ฝ่ายพ่อกับแม่ของนานาก็ได้แต่ยืนนิ่งพร้อมทั้งสนเท่ห์ใจในการตัดสินใจของนานาเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเป็นความต้องการของบุตรสาว ทั้งคู่ก็ยินยอมตามนั้นโดยไม่ได้กล่าวทักท้วงอะไรอีก งานวันเกิดของนานาจึงถูกเปลี่ยนเป็นของโมโมไปโดยปริยาย และโมโมก็ดูมีความสุขมากที่ได้ตัดเค้กวันเกิด

เมื่อครอบครัวของนานากลับถึงบ้านแล้ว พ่อกับแม่ยังกลัวว่านานาจะเสียใจที่ไม่ได้ตัดเค้กวันเกิดจึงพูดปลอบใจนานาเป็นการใหญ่

“ไม่เป็นไรนะนานาลูกรักของพ่อ เดี๋ยวพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ลูกใหม่” พ่อของนานาว่า “และแม่ก็จะทำเค้กก้อนใหญ่กว่าเก่าให้ลูกด้วย” แม่ของนานาเสริม

แต่นานาไม่ได้ติดใจเรื่องนี้เลย เธอยิ้มน้อย ๆ ให้พ่อกับแม่ ก่อนจะตอบว่า “ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อคุณแม่

เพราะหนูได้เห็นรอยยิ้มจากคนที่ยิ้มยากที่สุด ด้วยเค้กวันเกิดของหนู หนูมีความสุขมากเหลือเกินกับรอยยิ้มของเด็กคนนั้น และนี่ก็ถือเป็นงานฉลองวันเกิดที่วิเศษที่สุดของหนูแล้วค่ะ”
ข้อคิดที่ได้: การเสียสละเป็นสิ่งที่ดี

ที่มา: http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=25981.0